กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยต้นปีมกราคม 2568 ต่างชาติลงทุน 23,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากมกราคม’67 ถึง 223% (15,990 ล้านบาท) ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง 8,880 ล้านบาท จีน 3,925 ล้านบาท และเยอรมนีติด Top 3 ลงทุน 3,048 ล้านบาท
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เปิดเผยว่า เดือนมกราคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 103 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 21 ราย
และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 82 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,160 ล้านบาท โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 7 อันดับแรกของเดือนมกราคม 2568 ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,880 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเลระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน
ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของก๊ส
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ แม่พิมพ์ ไส้กรองน้ำมัน ชิ้นส่วนนาฬิกาข้อมือ
2. สหรัฐอเมริกา 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 971 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ได้แก่ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องแต่งกาย ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับการดูแลและรักษาความปลอดภัยทางระบบคอมพิวเตอร์
ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต ได้แก่ สิ่งปรุงแต่งอาหาร โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ
3. จีน 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 3,925 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจบริการอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการอุตสาหกรรม ลูกกลิ้งพิมพ์ลายหรืออัดลาย สารสกัดจากเศษวัตถุดิบที่เหลือจากการแปรรูปสัตว์
4. สิงคโปร์ 10 ราย คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 2,178 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจบริการติดตั้ง บำรุงรักษา ซ่อมแซม และการปรับ (Calibration) เกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องกล
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตภาพยนตร์ ละคร แอนิเมชั่น และรายการบันเทิง
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะ
5. ฮ่องกง 9 ราย คิดเป็นร้อยละ 9 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,251 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การติดตั้งและบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ การให้คำปรึกษาทางเทคนิคในการแก้ไขปัญหาเครื่องจักรระหว่างการใช้งาน เป็นต้น
ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ กระดาษลูกฟูก อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม
6. ไต้หวัน 8 ราย คิดเป็นร้อยละ 8 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 681 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจบริการออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งโครงสร้างเหล็กของอาคารคลังสินค้า
ธุรกิจบริการออกแบบระบบสถาปัตยกรรมทางด้านดิจิทัล (Digital Architecture Design Service) เช่น ระบบด่านเก็บค่าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และระบบจัดการที่จอดรถ เป็นต้น
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ สายไฟฟ้า ชุดสายไฟสำหรับรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม
7. เยอรมนี 7 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,048 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเครื่องปั๊มความร้อน (Heat Pump)
ธุรกิจบริการทำการตลาดและส่งเสริมการขายสิ่งทอเทคนิค
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า ได้แก่ เครื่องทำน้ำอุ่น Fatty Alcohol Ethoxylate
ถือได้ว่าการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทยช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้นมีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น
องค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยและการประเมินความเสี่ยงในโรงงานอุตสาหกรรม องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการติดตั้งทางวิศวกรรมเกี่ยวกับระบบบำบัดและรีไซเคิลน้ำเสีย องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการท่าเทียบเรือและความปลอดภัยการขนถ่ายสินค้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของระบบเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านเน็ตเวิร์ก เป็นต้น
เปรียบเทียบเดือนมกราคม 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 49 ราย (91%) (เดือน ม.ค. 68 อนุญาต 103 ราย/เดือน ม.ค. 67 อนุญาต 54 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 15,990 ล้านบาท (223%) (เดือน ม.ค. 68 ลงทุน 23,160 ล้านบาท/เดือน ม.ค. 67 ลงทุน 7,170 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 55 ราย (32%) (เดือน ม.ค. 68 จ้างงาน 227 คน/เดือน ม.ค. 67 จ้างงาน 172 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน
ลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 29 ราย
นางอรมนกล่าวว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ เดือนมกราคม 2568 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 29 ราย คิดเป็นร้อยละ 28 ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2567 จำนวน 12 ราย (71%) (เดือน ม.ค. 68 ลงทุน 29 ราย/เดือน ม.ค. 67 ลงทุน 17 ราย) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 12,329 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 11 ราย ลงทุน 5,574 ล้านบาท จีน 6 ราย ลงทุน 1,775 ล้านบาท สิงคโปร์ 3 ราย ลงทุน 1,610 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 9 ราย ลงทุน 3,370 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ
ธุรกิจค้าปลีกแม่พิมพ์โลหะและจิ๊ก (JIG) สำหรับใช้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า
ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของก๊าซ
ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น แม่พิมพ์และชิ้นส่วนแม่พิมพ์ ชิ้นส่วนเหล็กขึ้นรูป อะไหล่ และส่วนประกอบรถยนต์ เป็นต้น
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุกิจ